
อุตรดิตถ์ : เหล็กน้ำพี้ลือเลื่อง เมืองลางสาดหวาน
บ้านพระยาพิชัยดาบหัก ถิ่นสักใหญ่ของโลก
การเดินทางสู่ภูสอยดาวครั้งนี้ของฉัน เริ่มขึ้นจากคำชักชวนของเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเคยไปภูสอยดาวมาเมื่อปีที่แล้ว เมื่อจัดเวลาลงตัวได้แล้ว จากนั้นก็หาข้อมูล ต้องหาข้อมูล เพราะเพื่อนที่เคยไปนั้น ไปกะทัวร์ แต่ครั้งนี้ เราต้องไปกันเอง ดังนั้นข้อมูลต้องแน่นมากๆ แหล่งข้อมูลหลักของฉันอยู่ที่อินเทอร์เน็ต เมื่อยิ่งค้น ก็ยิ่งพบ ยิ่งเจอความสวยงาม จากภาพถ่ายของใครหลายคน ในเว็บฯ การท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย สวยงาม เหมือนภาพฝัน ทุ่งดอกหงอนนาคสีม่วงขึ้นสลับกับป่าสน โดยเฉพาะยามเช้าความชุ่มฉ่ำของหยดน้ำที่เกาะต้นหงอนนาค สร้างความเขียวสบายตา ปนกับสีม่วงที่ชูช่อไสว ผ่านม่านหมอกจางๆ ท่ามกลางป่าสน น้ำตกที่ปกคลุมด้วยมอสสีเขียวชะอุ่ม มีฉากหลังเป็นป่าสีเขียว ตัดกับสีแดงสดของใบเมเปิ้ล (ไม่รู้จัดฉากป่าว) ....เฮ้อ.....เพียงเท่านี้ ความคิดของฉันก็ล่องลอยไปไกล...
ฉันถามเพื่อนว่า เข้าป่าหน้าฝน (หนักๆ แบบนี้) ไม่อันตรายเหรอ?? เพื่อนฉันบอกว่า ฤดูกาลท่องเที่ยวภูสอยดาว สำหรับคนรักโลกมาโครอย่างฉัน ต้องช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนนี้เท่านั้นถึงจะเหมาะที่สุด เพราะช่วงนี้ดอกหงอนนาคเริ่มผลิดอกเบ่งบานรับหน้าฝน ฉันไม่เคยไปภูสอยดาว จึงอยากจะรู้ว่า อะไรที่ทำให้คนที่เคยไปแล้ว ต้องกลับไปอีก นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องหาคำตอบ...(ฉันมารู้ทีหลังตอนลงจากภูฯ มาแล้วว่า ที่เพื่อนฉันมันอยากกลับไป เพราะมันจะกลับไปแสตมป์ตรา อช.)....แหม !! มันน่าเจ็บใจจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงยังไงฉันก็ต้องขอบคุณที่ชวนฉันไปพบกับอีกโลกหนึ่งที่สวยงาม...
ก่อนหน้านี้มีข่าวพายุเข้า น้ำท่วม ดินถล่มที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ความกังวลใจเริ่มเกิดขึ้น เพราะถ้าระหว่างทางเดินขึ้นภูสอยดาวมีฝนตกลงมา คงไม่สนุกแน่ ฉันภาวนาขออย่าให้เหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านี้เลย ยิ่งเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนการเดินทาง ฉันตื่นแต่เช้าเปิดข่าวเช้าดู เห็นมีรายงานข่าวจากประเทศจีนว่ามีพายุเซาไมเข้า ภาพนักข่าวที่พยายามรายงานข่าวท่ามกลางพายุทั้งลม ทั้งฝน จนต้องใช้เชื่อกคล้องตัวนักข่าวไว้เวลารายงาน นักข่าวหญิงบางคนถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว ฉันก็กังวลหนักขึ้นไปอีก ขออย่างเดียวเจ้าเซาไม อย่าพัดมาไทยละกัน และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง
เย็นวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2549 หลังเลิกงาน ฉันกับเพื่อน ต้องกลับไปจัดกระเป๋าที่ห้อง เพราะเห็นว่ารถที่จองนั้นกว่าจะออกก็โน่น 5 ทุ่มครึ่ง ยังมีเวลาเหลือเฟือ แต่ที่ไหนได้ เวลาที่เราคิดว่ามากมายนั้น ถูกลดทอนด้วยสภาพการจราจรที่ติดหนักจนถึงขั้นเป็นอัมพาตก็ว่าได้ กว่าจะหาทางไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ก็เหลือเวลาแค่ 45 นาทีอาการกระวนกระวายใจเริ่มเกิดขึ้น เพื่อนร่วมทางถามฉันว่าถ้าไปไม่ทันขึ้นรถจะทำยังไง แต่ฉันมั่นใจว่า..ยังไงก็ทัน..ถึงหมอชิตทันเวลา แต่รถเจ้ากรรมก็ยังไม่ออก เฮ้อ....เข็ดแล้วกับรถของ บขส. ฉันมีประสบการณ์ครบแล้ว ทั้ง ป.2 , ป.1, และ วีไอพี เรื่องเวลาและการบริการ ไม่ได้มาตรฐานเอามากๆ...ระหว่างนั่งรอรถที่หมอชิตมีหนุ่มน้อยหน้าใสคนนึง ในมือถือตั๋วรถ ปลายทางเชียงใหม่ วิ่งๆ เดินๆ วนเวียนอยู่หลายรอบจนในที่สุดก็มานั่งแทรกตรงกลางระหว่าฉันกับเพื่อนเพื่อสอบถามว่ามีจุดหมายปลายทางเดียวกันมั้ย จนฉันยื่นตั๋วให้นั่นแหละ ถึงรู้ว่าฉันกับเพื่อนจะไปพิษณุโลก ไม่ใช่เชียงใหม่ ทีนี้เจ้าหนุ่มคนนั้นก็ออกอาการลุกลี้ลุกลนอีก ฉันเห็นแล้วน่าสงสาร จะไม่ให้สงสารได้ยังไง ก็ตั๋วน่ะลงเวลารถออก 5 ทุ่ม 10 นาที แต่นี่มัน 5 ทุ่มครึ่งแล้วเจ้าหนุ่มยังไม่ได้ขึ้นรถเลยน่ะซิ คงจะเพิ่งเคยเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรกถึงได้ดูตื่นเต้นนัก ฉันนั่งดูอยู่นานเห็นวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่คนโน้นทีคนนี้ที ไม่มีใครให้คำตอบได้สักคน นั่งลุ้นอยู่นาน จนสุดท้ายก็ได้ขึ้นรถฉันก็พลอยโล่งใจไปด้วย ทำไมถึงได้ขึ้นรถรู้มั้ย เหอะๆๆ.....ก็ด้วยความมักง่ายของรถ บขส. นั่นแหละ เมื่อเที่ยวไหนไม่เต็มก็จะยื้อเวลาไว้ แล้วตะโกนเรียกผู้โดยสารเที่ยวต่อไป จนกระทั่งรถเต็มนั่นแหละรถถึงจะออก คิดดูนะคนที่จองตั๋วเที่ยว 5 ทุ่ม ต้องเดินทางพร้อมกับเที่ยวเที่ยงคืนน่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าทาง บขส. เค้าจะลงเวลาไว้ให้ทำไม เฮ้อ....อือม์...นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรนะ อ้อ....
การเดินทางสู่ภูสอยดาว พูดนอกเรื่องซะตั้งนาน มาเข้าเรื่องกันต่อ ตามที่หาข้อมูลมานะ ภูสอยดาวสามารถเดินทางได้ 2 ทางคือจากพิษณุโลก ต่อไปยัง อ. ชาติตระการ และเดินทางต่อไปยัง อช. ภูสอยดาว เส้นทางที่สองก็ จากอุตรดิตถ์ ไป อ. น้ำปาด และไป อช. ภูสอยดาวได้เช่นกัน ทางเส้นที่สองนี่ระยะทางใกล้ก็จริง แต่ทางวกวนขึ้นเขามากกว่า ดังนั้นฉันจึงเลือกเส้นทางจากพิษณุโลก รถออกจากหมอชิต เที่ยงคืน ถึงขนส่งพิษณุโลก 6 โมงเช้า ตั้งใจจะมองหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่จุดหมายเดียวกัน เพื่อทุ่นภาระด้านการเดินทางลง แต่เช้านั้น มีคนมุ่งหน้าสู่ภูสอยดาวก็จริงแต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทัวร์ ซึ่งจะใช้รถตู้ในการเดินทาง ฉันจึงตัดสินใจเหมารถมุ่งหน้าสู่ อช. ภูสอยดาวเลย เพราะถ้าหากมัวเสียเวลา สงสัยกว่าจะได้ขึ้นภู ก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า



ถึง ที่ทำการ อช. ภูสอยดาว 9 โมงเศษๆ ติดต่อลงชื่อ เพื่อขึ้นภูสอยดาว และชั่งสัมภาระเพื่อมอบให้กับลูกหาบ ที่นี่คิดน้ำหนักกิโลกรัมละ 15 บาท ส่วนสัมภาระบางส่วนเช่น พวกอาหารมื้อค่ำ และเครื่องนอนจำเป็นต้องแบกขึ้นไปเองเนื่องจากวันนั้นเป็นช่วงหยุดยาว มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ลูกหาบไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่จึงไม่รับปากว่าสัมภาระของพวกเราจะขึ้นไปถึงลานสน ดึกหรือไม่ เสร็จธุระจากนั้นก็เริ่มเดินกันได้ เวลาดี 10.00 น. ออกย่ำ ระยะทางช่วงแรก ขึ้นๆ ลงๆ ป่าทึบ เป็นทางเรียบน้ำตกภูสอยดาว โชคดีที่ฝนไม่ตก
เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เจอป้ายทางแยกซ้ายมือเขียนว่า ทางลัดไปลานสน ขวามือเขียนว่าทางอ้อม ฉันกับเพื่อนไม่ต้องคิดหนักเลย ชิดขวาเดินทางอ้อมทันที เพราะทางลัดมองดูแล้วไม่ไหวแน่ อย่างชัน ระยะทางเรียบน้ำตกก่อนถึงเนินส่งญาติไกลเท่าไหร่จำไม่ได้แล้วแต่เดินประมาณครึ่งชั่วโมง ชักเริ่มหิว เพราะข้าวเช้าไม่ได้กิน เสบียงมื้อกลางวันดูเหมือนจะสร้างภาระให้กับเรา ฉันจึงชวนเพื่อนนั่งพักกินข้าวเช้า (แต่ใช้เสบียงของมื้อกลางวัน) ก่อนขึ้นเนินส่งญาตินั่นแหละ ตอนนั้นไม่มีใครเดินตามหลังมาเลยนอกจากกลุ่มลูกหาบ 3-4 คนเท่านั้น พอจัดการกับเสบียงมื้อกลางวัน เรา 2 คนก็เริ่มเดินต่อ เนินส่งญาติระยะทางแค่ 700 เมตร แต่เมื่อมองขึ้นไป ทางมีแต่ขึ้นอย่างเดียวไม่มีทางเรียบไว้ให้หายใจเลย ฉันรู้แล้วทำไมถึงได้ตั้งชื่อเนินส่งญาติ ก็คนที่มาเล่นน้ำตกเดินๆ มาถึงทางขึ้นนี้ พอเห็นทางเริ่มไปต่อไม่ไหว ก็โบกมือบ๊าย บาย ญาติที่สามารถไปต่อไหวว่า โชคดีนะ แล้วจะรออยู่ข้างล่าง ฉันกับเพื่อนไม่มีญาติมาส่งจึงกลั้นใจเดินต่อไปเรื่อยๆ มีหอบบ้าง เดินบ้างหยุดบ้างแต่ก็ไม่ได้พักนาน อึดใจเดียวก็มาถึงจุดพักก่อนขึ้นเนินปราบเซียน ฉันนึกในใจอีกเหมือนกันว่า ฉันก็แค่คนธรรมดา ไม่ใช่เซียนที่ไหน ดังนั้นไม่ต้องมาปราบฉันหรอก ระหว่างทางที่เดินท้องฟ้าครึ้มๆ แต่ฝนไม่ตก ดีเหมือนกัน ตอนเดินจะได้ไม่ร้อนมาก
นั่งพักที่กลุ่มก้อนหินก่อนขึ้นเนินปราบเซียน ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวเดินมาทันเรา 2 คนแล้ว และมีกลุ่มลูกหาบ นั่งพักอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ป้ายบอกระยะทาง เนินปราบเซียน 1900 เมตร พักพอหายใจเป็นปกติ ก็ไปต่อ 1900 เมตร มันช่างไกลเหลือเกินเดินยังไงก็ไม่ถึงครึ่งทางซักที ฉันคอยถามเพื่อนอยู่บ่อยๆ ว่า พ้นหรือยัง เนินปราบเซียน เพื่อนก็ว่ายังอีกไกล ดีที่ยังพอมีทางราบให้เดินบ้าง ไม่ต้องขึ้นอย่างเดียวเหมือนตอนส่งญาติ เดินๆ ไปสักพัก เห็นเป็นลานโล่งมีม้านั่งให้นั่ง เห็นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพักทานอาหารกลางวันกันอยู่ ส่วนฉันกับเพื่อนนั้นไม่มีอาหารกลางวันให้พักแล้ว จึงเดินต่อไป จุดหมายปลายทางคือลานสน ระหว่างทางมีป้ายบอก ทางไปลานสน ตลอดเส้นทาง เหมือนสร้างกำลังใจให้เราว่า ใกล้ถึงแล้วๆ แรกๆ ก็สร้างกำลังใจได้อยู่ นานๆ เข้าเริ่มไม่อยากมอง เพราะมันไม่ถึงซักที มีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินสวนกลับลงมาบ้างแล้ว 2-3 คน
ทางเดินก็เริ่มลำบากมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าสบายอยู่ ไม่หนักหนาเหมือนที่เคยผ่านๆ มา ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีทากมาทำให้ฉันสติแตก เดินกันอยู่พักใหญ่ เริ่มเปลี่ยนเนินเป็น เนินป่าก่อ อีก 2.5 กิโลเมตร ถึงลานสน เนินนี้มีทางชันแค่ระยะแรก จากนั้นก็เดินตามสันเขาไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่ร้อนมาก จากเนินป่าก่อ ก็เข้าสู่เนินเสือโคร่ง ระยะทางแค่ 500 เมตร แต่ก็ต้องปีนป่ายบ้างนิดหน่อย สิ้นสุดเนินเสือโคร่ง ก่อนเข้าสู่เนินมรณะ เนินสุดท้ายก่อนจะถึงลานสน ฉันมองเห็นลูกหาบอยู่บนยอดเขาลิบๆ จึงถามเพื่อนว่าเราต้องเดินไปทางนั้นเหรอ เพื่อนบอกว่า ใช่ ..เอ๊า !! เดินก็เดิน ตรงนี้เริ่มมองเห็นวิวบ้างแล้ว ฉันกับเพื่อนก็เดินไป ปีนไป หันมาถ่ายรูปไปช่างบันเทิงดีแท้ๆ
ระยะทางของเนินมรณะ 1,100 เมตร แค่อ่านชื่อก็เหนื่อยแล้ว เห็นทางก็ยิ่งเหนื่อย ไม่เหนื่อยอะไรหรอก เหนื่อยที่ต้องบังคับขาให้ก้าวยาวๆ ตามขั้นบันไดที่เขาทำไว้ให้เหยียบนั่นแหละ ก่อนจะถึงเนินมรณะ ฉันบอกเพื่อนว่าเรา 2 คนต้องถึงลานสนก่อนบ่าย 2 โมงแน่นอน เพื่อนฉันไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆ จะบ่ายสองแล้ว ยังไต่ไม่ถึงครึ่งทางของเนินมรณะเลย เรา 2 คนไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ระหว่างทางมีแซง มีถูกแซงบ้าง มีโดนแซวบ้าง ว่าดูเรา 2 คนไม่เหนื่อยเลยนะ เก่งจัง ฉันนึกในใจ เหนื่อยเด่ะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้วยังว่าไม่เหนื่อยอีกเหรอ นั่นคงป็นเพราะเรา 2 คนไม่ค่อยได้หยุดพักน่ะ ถึงหยุดก็แค่แป๊บเดียว แล้วก็เดินกันต่อ เรา 2 คนมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งก็ตอนที่เห็นกระเป๋าเราถูกแบกมาโดยลูกหาบกิติมศักดิ์ (เจ้าหน้าที่แบกขึ้นมาให้ เพราะลูกหาบหมด) และมาแซงเราก่อนพ้นเนินมรณะ นั่นแสดงว่ากระเป๋าของเราไปนอนรออยู่แล้วที่ลานสน ส่วนเรา 2 คนเดินไปพักไป จนถึงยอดเนินมรณะ แต่ยังไม่ถึงลานสนต้องเดินต่อไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรเดินกันมาเรื่อยๆ มองเห็นป้ายยินดีต้อนรับ เท่านั้นแหละ ฝนลงเม็ดเลย เหมือนเป็นการต้อนรับยังไงยังงั้น ทีนี้ก็รีบควานหาเสื้อกันฝนมาสวมกันใหญ่ พอสวมเสร็จ ฝนหยุดซะอย่างนั้น แหม ! มันน่านัก...


ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงจนได้ลานสน โอ้โห ! ดอกไม้เพียบเลย แต่ต้นสนน้อยจัง ไม่เหมือนภูกระดึง เห็นมีต้นสนบางต้นล้มนอนราบอยู่ที่ทุ่งหญ้า สงสัยบนภูนี้ลมจะแรง บ่าย 3 รวมเวลาเดิน ก็ ห้าชั่วโมงเต็มๆ เลย บรรยายกาศบนภูสอยดาวถึงแม้นักท่องเที่ยวจะมากสักหน่อย แต่บรรยากาศดีใช้ได้ รอบๆ ตัวเราเต็มไปด้วยไอหมอกจาง...ทีนี้ต้องหาทำเลกางเต็นท์กันแล้ว เดินๆๆ ก็ยังหาที่เหมาะไม่ได้สักที เจ้าหน้าที่คนที่แบกกระเป๋าขึ้นมาให้ก็เดินมาถามว่าจะกางเต็นท์ตรงไหน เขาจะได้ยกสัมภาระมาให้ แหม.! ช่างดีจริงๆ สุดท้ายก็ได้ทำเลเหมาะแกการหลับนอน แม้จะห่างจากห้องน้ำ แต่ก็ไกลฝูงชนดี ไม่วุ่นวาย แถมเงียบสงบอีกต่างหาก เรา 2 คนจัดการกางเต็นท์เรียบร้อย และก็หาอาหารใส่ท้อง เพราะหิวมาก เนื่องจากข้าวกลางวันซัดไปตอนสาย หิ้วท้องมาถึงลานสนได้นี่ก็บุญนักหนาแล้ว....กินเสร็จ ไปไหนต่อดี หมอกเต็มไปหมด ฟ้าก็ปิด ไม่มีแสงแดดเลย เราจึงตัดสินใจว่านอนพักเอาแรงดีกว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเที่ยวกัน ดังนั้นจึงเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเย็นดี หลับๆ ตื่นๆ เพราะฝนตกทั้งคืนเลย อากาศก็หนาวมากๆ นึกว่าจะแข็งตายซะแล้ว...
ตื่นเช้ามา อากาศข้างนอกก็ยังปิดอยู่ จึงไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ที่ดีที่สุดคือหาอะไรใส่ท้องนั่นแหละ ออกมานอกเต็นท์เก็บกวาดนิดหน่อยเพราะทั้งลมทั้งฝนเมื่อคืนทำเอาทุกอย่างชุ่มฉ่ำไปหมด แล้วก็จัดการตั้งกาน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟกิน นี่เป็นครั้งแรกของเราสองคนมั้งที่ต้องจัดการเรื่องการกินอยู่ด้วยตัวเอง เพราะทริปที่ผ่านๆ มานั้น เพื่อนๆ ร่วมทริปจัดการให้หมด เรารอกินกันอย่างเดียว แต่ทริปนี้ไม่มีใครทำให้ดังนั้นจึงต้องช่วยตัวเอง ที่ผ่านมาเคยเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น อื่ม ! ไม่ยากนะ ชงกาแฟ เตรียมอาหารเช้าเรียบร้อย อิ่มจัง อิอิ....เช้านี้ไปไหนดี รายการน้ำตกนั้นตัดออกไปเลยเพราะฉันกับเพื่อนตกลงกันแล้วว่าไม่ไปน้ำตกแน่นอนเพราะมีทาก แบบว่าไม่อยากสติแตกน่ะ
บรรยากาศตอนนี้เย็นจัด หมอกปกคลุมไปทั่ว เรา 2 คนก็ได้ข้อสรุป เดินลาดตระเวนบนลานสนนี่แหละ ถ่ายภาพดอกไม้ไปเรื่อยๆ ชอบจังทุ่งดอกหงอนนาค แต่ตอนเช้าหงอนนาคยังหลับอยู่เลย ต้องรอตอนบ่ายๆ นั่นแหละ ดอกจึงจะตื่นมาบานสะพรั่ง ให้เราได้ชมกัน จุดแรกเราสองคนเดินไปทางด้านหลังของที่ทำการ (จะพาเพื่อนไปส่งฝั่งลาว อิอิ) ตามทางเดินมีป่าสนสลับกับดอกหงอนนาคบางตา ชอบบรรยากาศฟ้าหลังฝนจัง แม้ฟ้ายังไม่เปิด แต่บรรยากาศที่มีไอหมอกปกคลุมลานสนนั้นก็ทำให้ภาพที่เห็นเหมือนอย่างกับอยู่ในฝันเลย ฉันกับเพื่อนสนุกกับการถ่ายภาพมาโครดอกไม้ และสิ่งเล็กๆ รอบตัว รวมไปถึงเก็บภาพบรรยากาศของป่าสน ภูสอยดาวแม้ไม่มีทาก แต่มีคุ่นคอยกวนใจอยู่ไม่ห่าง ตัวคุ่นจะเกาะและดูดเลือดเรา ลักษณะคล้ายๆ ยุง ต้องคอยฉีดน้ำมันตะไคร้หอมไว้ ไม่งั้นตัวมีแต่จุดแดงๆ ลายทั้งตัวแน่ๆ ตอนมันกัดนี่ไม่คันเท่าไหร่หรอกแต่หลังจากนั้นสัก 2-3 วันอาการคันเริ่มปรากฎ เกาแกร่กๆ ยังกะลิงเชียวแหละ...เดินผ่านทุ่งดอกหงอนนาคมาได้สักพักก็มาเจอหลักปักเขตแดน บอกว่าฝั่งนี้ประเทศไทย อีกฝั่งประเทศลาว แชะภาพเป็นที่ระลึกกันสักหน่อยเพราะใครๆมาถึงภูสอยดาวก็ต้องถ่ายภาพคู่กับเจ้าหลักนี่กันทั้งนั้น แล้วแบบนี้จะพลาดได้ยังไง
จากนั้นก็เดินกันไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน มีต้นสนล้มอยู่ประปราย เดินมาเห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกมอสตกอยู่บนหญ้า สงสัยแรงลมอีกนั่นแหละ น้ำตกมอสนี่เท่าที่ทราบเขาปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมแล้ว เพราะอยู่ในฝั่งลาว (มั้ง) ไม่เป็นไร ยังไงซะฉันกับเพื่อนก็ไม่ได้อยากเที่ยวน้ำตกนี่นา จากนั้นเราสองคนก็เดินๆ มาเรื่อยๆ บรรยากาศรอบๆ ลานสน เมฆเริ่มตั้งเค้ามาอีกครั้งฝนคงจะตกในไม่ช้า แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคเพราะเราสองคนมีอุปกรณ์กันฝนติดมาเรียบร้อย ไม่นานก็มีละอองฝนหล่นลงมาปะปราย ก็ไม่รู้ว่าฝนหรือหมอกกันแน่นะ สักพักแดดก็ออก แต่ก็ยังไม่เห็นท้องฟ้า และตะวันเลย เพราะหมอกลงจัดมากๆ ได้ยินเสียงกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นบ่นว่า ฟิล์มหมดแล้ว บ้างก็กล้องแบตหมด ไม่แปลกเพราะภาพที่เห็นนั้นมันชวนให้เก็บลงกล้องทั้งนั้น ฉันก็ยังสนุกกับการถ่ายภาพต่อไป เดินต่อมาเห็นป้ายบอกทางไปจุดสูงสุดบนลานสน ฉันก็ชวนเพื่อนเดินขึ้นไป ทางเดินเป็นทางสันเขาแคบๆ เพื่อนกลัวกว่าจะลากขึ้นมาได้กล่อมกันอยู่พักนึง เห็นบอกว่าทางมันลื่นกลัวตกเขา แต่พอขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรนะ วิวก็ไม่เห็นเพราะมีแต่หมอกเต็มไปหมด จากนั้นก็เดินลงมา เดินไปตามทางเรียบหน้าผาที่เจ้าหน้าที่ทำรั้วกั้นไว้ให้เพื่อความปลิดภัย วิวข้างล่างสวยดี เป็นทิวเขาสลับกับทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนเขียวเข้มสีตัดกัน มีหมอกลอยเหนือป่าทึบเป็นภาพที่สวยงามไปอีกแบบ
เริ่มสาย อากาศเริ่มร้อน เราสองคนจึงเดินกลับเต็นท์ เที่ยงพอดี หาข้าวกินดีกว่า สักพักฝนก็ตก บ่ายๆ ไม่ได้ออกไปไหน จึงเอาโปสการ์ดที่ขนมาจากบ้าน เขียนถึงเพื่อนๆ สนุกสนาน เขียนไปอ่านไป ขำไป เขาว่ากันว่าความสุขของการได้เขียนโปสการ์ดไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้รับจะได้รับหรือได้อ่านหรือไม่ แต่ความสุขมันอยู่ที่ ตอนที่เรานึกถึงคนที่เราอยากจะบอกเล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เราได้เจอต่างหาก บ่ายแก่ๆ เขียนโปสการ์ดเสร็จเริ่มง่วง นอนดีกว่า กิจกรรมบนภูสอยดาวถ้าไม่เที่ยวน้ำตก เดินป่าศึกษาธรรมชาติ ก็คงมีอยู่เท่านี้มั้ง เพราะอากาศด้วยแหละ สักเดี๋ยวแดดออก 10นาทีผ่านไปฝนตก พอฝนหยุดหมอกลง เป็นอย่างนี้สลับกันไป พอถ่ายภาพดอกไม้จนหนำใจแล้วก็ไม่รู้จะไปไหนดี ช่วงบ่ายกิจกรรมของเราสองคนคงหนีไม่พ้นกานนอน อิอิ หลับสบายท่ามกลางธรรมชาติ มองออกไปนอกเต็นท์เห็นดอกหงอนนาค ราวกับสวนหลังบ้านเลย มีความสุขจริงๆ



สัก 4 โมงเย็นฟ้าเปิดนิดหน่อย พอมองเห็นฟ้าเป็นสีฟ้าบ้าง ฉันรีบคว้ากล้องออกไปเก็บภาพ เย็นนี้คิดว่าจะได้ภาพแสงสุดท้ายซะอีก ที่ไหนได้แห้วรับประทาน ต้องหน้าจ๋อยเดินกลับเต็นท์ไปต้มบะหมี่กินเป็นอาหารมื้อเย็น พรุ่งนี้แล้วซินะต้องลงจากภูแล้ว ว้า! ยังอยากอยู่ต่ออีกอ่ะ ชอบจังบรรยากาศเงียบๆ สงบๆ แบบนี้ เราสองคนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ คิดในใจคืนนี้ขออย่าให้ฝนตกเลยนะ เช้าๆ จะได้เดินลงสบายๆ ไม่ลื่น ที่ไหนได้ พอดึก มาแระ ไม่รู้พระพิรุณไปพิโรธใครมากระหน่ำซะยังกับเต็นท์จะปลิวไปตามลมด้วยยังงั้นแหละ ทั้งฟ้า ทั้งฝน ทั้งลม เล่นเอาเพื่อนฉันขวัญเสียไปเลย ฉันก็กลัวนะ แต่ถ้ากลัวกันทั้งสองคนแล้วใครจะปลอบใจใครละจริงมั้ย กว่าฝนและลมจะสงบได้ก็เล่นเอาฟ้าสาง พระอาทิตย์มาปราบนั่นแหละ พระพิรุณจึงได้สงบลง เพื่อนฉันชะโงกหน้าออกมาจากเต็นท์ตื่นเต้นใหญ่ ก็ภาพฟ้าสางหลังฝนน่ะสิ สวยงามมากๆ แสงสีหวานเย็นจับที่ขอบฟ้าตรงทิวสนด้านทิศตะวันออก สักพักเริ่มเห็นแสงสีทอง พอหันมองทางด้านหลังเต็นท์ เราก็ได้เห็นรุ้งหลากสี ทาบทอลงมาที่ทิวสนอีกด้าน เป็นภาพที่สวยงามมากๆ ฉันเก็บภาพไว้เยอะทีเดียวแต่พอมาเปิดดูเบลอหมดเลย สงสัยไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง ตอนนั้นกลัวถ่ายภาพไม่ทันน่ะ จึงลืมคิดไป น่าเสียดายจริงๆ
กิจกรรมของเช้าวันสุดท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมอาหารเช้าแบบทุบหม้อข้าวตัวเองเลย เพราะไม่รู้ว่าจะแบกลงไปทำไมให้หนัก มีอะไรก็จับยัดใส่ท้องให้หมด เพราะกลางวันเรากะว่าจะลงไปกินกันข้างล่าง ไม่แบกไปกินระหว่างทาง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะลงจากภูกันตอนสายๆ สัก 10 โมงเช้า แต่เราสองคนเลือกลงเช้าหน่อยเพราะจะได้ไม่ต้องไปแย่งห้องน้ำกันใช้ข้างล่างอีก พอ 8 โมงปุ๊บเราก็เริ่มเดินลงกันแล้ว แวะถ่ายภาพกับป้ายผู้พิชิต ที่บอกระดับความสูง 1,633 เมตร สร้างความภูมิใจให้อย่างมาก...ฟ้าสีฟ้าเบื้องหลังเป็นป่าสน เมฆเป็นปุยขาว เสียดายที่วันนี้เราสองต้องกลับแล้ว
ก่อนเดินลงไม่ลืมที่จะหันหลังกลับไปมองที่ลานสนอีกครั้ง เหมือนเป็นการบอกลา และอยากเก็บภาพที่เห็นไว้ในความทรงจำตลอดไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก...ตอนเดินลงทางลื่นมาก เพราะฝนตกเมื่อคืน แต่ก็ยังทำเวลาได้ดีทีเดียว ไต่ลงจากเนินมรณะ ผ่านเนินเสือโคร่ง ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ต่างจากตอนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทันไร 10 โมงครึ่งเราสองคนก็ได้มาอาบน้ำเย็นๆ อยู่ที่ทำการเรียบร้อยแล้ว ต้องนั่งรอกระเป๋าจากเจ้าหน้าที่คนเดิมเพราะอาสาแบกลงมาให้เนื่องจากเมื่อวานเย็นต้องเดินขึ้นไปเผื่อเอาน้ำส้มไปให้เพื่อนเจ้าหน้าที่ด้วยกันบนลานสน แหม ! ทำยังกับระยะทางแค่หน้าบ้านหลังบ้านเลย
เราสองคนออกจากที่ทำการ อช. มาก็เกือบบ่ายแล้ว กว่าจะมาถึงขนส่งพิษณุโลกก็บ่าย 3 โมงกว่าๆ หิวแทบแย่เพราะยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย พอรถจอดก็หาของยัดใส่ท้อง เป็นก๋วยเตี๋ยวคนละ 2 ชาม จากนั้นก็นั่งรถไปไหว้พระพุทธชินราช และเดินหาตู้ไปรษณีย์เพื่อส่งโปสการ์ด หวังว่าปลายทางคงได้รับไม่ช้าก็เร็ว เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจครั้งนี้เรียบร้อย เย็นกลับมานั่งรอรถต่อ ได้ขึ้นรถตอน 2 ทุ่ม รถ บขส. อีกนั่นแหละ คราวนี้มีคนทะเลาะกันบนรถด้วยน่ารำคาญมากๆ เพราะรถจอดรับคนเมาระหว่างทางน่ะ ขนาด ป.1 นะ เฮ้อ....แถมพนักงานก็ไม่สนใจด้วย ฉันคิดในใจอีก เพราะฉันเป็นคนชอบคิดชอบจินตนาการ ถ้าหากผู้โดยสารฆ่ากันตายในรถ กว่าพนักงานจะรู้ก็คงถึงหมอชิตเรียบร้อยแล้วมั้ง..
บทส่งท้ายการเดินทางภูสอยดาว .....
บางครั้งการเดินทางก็ทำให้เราได้พบเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะถ้าการเดินทางได้เดินทางมากับคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันจะเป็นสุขยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เสมอ โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าได้มากับคนรู้ใจ คนรู้ใจอาจไม่ได้หมายถึงคนรักทำนองชู้สาว แต่อาจหมายถึงเพื่อน พี่ น้อง ก็ได้ ความงามของภูสอยดาว อาจไม่เหมือนที่คาดหวังไว้ทั้งหมด แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆ กลับมาอีกหนึ่ง หรืออาจจะหลายประสบการณ์ ประสบการณ์ที่สอนให้เรารู้ว่าภายใต้ท้องฟ้าที่เรามองดาวดวงเดียวกัน ณ เวลาเดียวกันก็ยังมีความแตกต่าง ประสบการณ์ที่สอนให้ฉันรู้ว่าทำไมคนอื่นรวมทั้งเพื่อนฉัน ถึงอยากกลับมาเยือนที่นี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะภาพและเหตุการณ์ที่ได้เจอแต่ละครั้งมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อนฉันคนหนึ่งไปเขาใหญ่มาเป็นสิบๆ ครั้ง ฉันถามเขาว่าจะไปทำไมบ่อยๆ เพื่อนคนนั้นบอกว่า แต่ละครั้งที่ไปประสบการณ์ไม่เหมือนกันสักครั้ง เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กลับปลายทางที่เราจะไป แต่มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์รายทางที่เราได้รับต่างหาก ความมีน้ำใจระหว่างทางสายภูสอยดาว แม้บางครั้งนักท่องเที่ยวบางกลุ่มยังขาดจิตสำนึกในบางสิ่ง แต่สิ่งที่สอนฉันอีกอย่างคือ เราควรที่จะเคารพทุกกฎข้อของธรรมชาติ และตัวเราเอง ท่องเที่ยวด้วยจิตสำนึกเพื่อเหลือให้คนอื่นได้กลับมาซ้ำรอยทางแห่งนี้ ฉันบอกกับตัวเองทุกครั้งที่ได้เดินทางว่าสิ่งที่ติดตัวกลับไปมีเพียงภาพถ่ายและความทรงจำ แม้ภาพที่ได้จะไม่สวยที่สุดในความรู้สึก แต่ฉันก็ได้เก็บความรู้สึกที่ดีที่สุดทุกครั้งอย่างนี้เสมอ...แค่ได้เดินทางก็เป็นสุขแล้ว...
แล้วเจอกันทริปหน้านะคะ....จะไปไหนยังไม่รู้เลย.
....................................................palmy616
Palmy-Chomthai
www.chomthailand.com
รวมภาพจากภูสอยดาว
~ ภูสอยดาว ~ (ด้วยความคิดถึง)
เก็บดอกไม้มาฝาก...จาก ภูสอยดาว
ภูสอยดาว(Phu-soi-dao)ในวันที่ลมฟ้ามันครึ้มโคด
ทริปสอยเดือนที่ภูสอยดาว 30 ก.ย.-2 ต.ค..จ้า.
สองตา ยาย กับหลานอีกหนึ่งคนเที่ยวหน้าฝนที่ ภูสอยดาว
ภูสอยดาว กับบางมุมมองที่ผมยังไม่เคยโพสลงเว็บ...
ความหลัง...เมื่อครั้ง"ภูสอยดาว"
ติดต่อสอบถาม แสดงทัศนะ ถึง-ผู้เขียน