กว่าจะถึง ภูกระดึง
เลย : เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู
ตำ น า น ก า ร เ ดิ น ท า ง ที่ ผ่ า น ม า
ก า ร บ อ ก เ ล่ า เ ป็ น ถ้ อ ย คำ ร้ อ ย เ รี ย ง
เ ป็ น สี สั น เ ป็ น ภ า พ ส ว ย จ า ก ห น้ า ห นึ่ ง
ข อ ง บั น ทึ ก จ ด จำ เ รื่ อ ง ร า ว ข อ ง ภู ผ า
แ ม้ เ ป็ น เ พี ย ง ส่ ว น เ สี้ ย ว ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ
แ ต่ เ พี ย ง พ อ ที่ จ ะ นึ ก ถึ ง
เป็นการเดินทางที่ยาวนานเหลือเกิน สำหรับการเดินทางไปภูกระดึงครั้งนี้ของพวกเรา ช่วงเทศกาลสงกรานต์ รู้ๆ กันอยู่ว่าสาหัสแค่ไหนกับการจราจร แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค สำหรับใจที่อยากออกเดินทางอย่างเรา
ค่ำคืนแรก นัดรวมตัวที่หมอชิตเวลา 6 โมงเย็น แต่ด้วยความร้อนรนของจิตใจ ฉันโดดงานไปพบหมู่มิตรตอนบ่าย 3 โมงกว่าๆ รวมพลพรรคครบถ้วนเวลาก็จวนเจียนจะ 5 โมงเย็น สหายเราอาสาไปซื้อตั๋วได้ตั๋วเมืองเลย ป.2 เวลาทุ่มครึ่ง จากนี้ไปคือการรอ รอ รอ และรอ อย่างเดียว ใกล้ถึงเวลาตามหน้าตั๋วพวกเราย้ายสัมภาระทุกชิ้นไปวางกองรวมกันที่ช่องรถจอด ประชากรหนาแน่นมากๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าเพื่อที่จะกลับถิ่นฐานของตัวเอง บ้างไปเยี่ยมลูก บ้างก็เยี่ยมบุพการี บ้างก็กลับไปทำบุญ บ้างก็แค่กลับไปเพียงเพื่อเล่นน้ำสงกรานต์เท่านั้น แต่พวกเรากำลังไปพิสูจน์สมรรถภาพของร่างกายอีกครั้ง ถึงเวลารถออก แต่พวกเรายังไม่ได้ขึ้นรถเลย (แย่งไม่ทัน) คนแทบจะเหยียบคอกันตาย กว่าจะแย่งขึ้นรถได้ก็โน่น สามทุ่มกว่าๆ สหายเราที่เป็นสุภาพบุรุษเพียงหนึ่งเดียวอาสา (อีกแล้ว) รวบรวมกระเป๋าทุกใบยัดใส่ช่องเก็บของที่ท้องรถ ในขณะที่สาวๆ ทั้งสามออกแรงผลัก ดัน เดิน ยื้อแย่งกันเพื่อที่จะพาตัวเองเข้าสู่ภายในรถให้ได้ วูบเดียวขณะที่กำลังยื้อแย่งเบียดตัวเองเข้าไปในรถฉันคิดว่าฉันถอดใจแล้ว ไม่อยากไปแล้ว ทำไมต้องมาลำบากเพื่อแย่งความลำบากอีก เฮ้อ! แต่ท้ายที่สุดพวกเราทั้งหมดก็ได้ขึ้นรถ แล้วล้อก็หมุน อีกเช่นเคยรถ ป.2 ฉันได้ยินเขาประกาศอยู่ปาวๆ ที่สถานีขนส่งหมอชิตว่า หากใครพบรถที่ขายตั๋วเกินราคา หรือเกินที่นั่งให้ร้องเรียนได้ และทางสถานีจะระงับการเดินรถสายนั้นทันที นั่นคือบทลงโทษ แต่ไม่มีใครเกรงกลัว
รถที่ฉันนั่งไปนั้นนอกจากจะขายตั๋วเกินราคาแล้ว ยังขายที่นั่งเกินอีกต่างหาก เจ้าของรถใช้วิธีซิกแซ็กด้วยการ จัดเก้าอี้เสริมให้ได้นั่งกันทุกคน ฟังแล้วเหมือนจะดี แต่ดูก่อนเถิดพี่น้อง เบาะ 2 นั่ง 3 รวม 6 เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ ที่ว่างตรงกลางวางเก้าอี้เสริม อีก 1 รวมเบ็ดเสร็จแล้วแถวละ 7 โดยประมาณ รถเสริมป.2 นั้นเก่าแสนเก่าแอร์ก็ไม่เย็นอยู่แล้ว แถมยังเข้าไปอัดกันเป็นปลากระป๋องปุ้มปุ้ยอยู่ในนั้น กับการเดินทางร่วม 7 ชั่วโมง (เวลาปกติ) แต่ช่วงเทศกาลเยี่ยงนี้ บวกไปเลยแบบไม่จำกัดจำนวนชั่วโมง คิดดูเองละกันว่านรกอยู่ใกล้แค่ไหน...นี่แหละสวัสดิภาพของประชากรไทย..จะแก้ยังไงดี...รถก็แน่น แถมการจราจรก็ติด โอ๊ย ! หงุดหงิดเป็นบ้า รถวิ่งออกนอกเมืองมาได้สักพัก ฉันแน่ใจว่ายังไปไหนไม่ไกลจากกรุงเทพนัก การจราจรเดี้ยงสนิท ไม่รู้ว่าคนขับปิดแอร์ หรือแอร์มันเสียโดยตั้งใจกันแน่ ร้อนตับแทบแล่บออกมาจากอก เพื่อนเราผู้เป็นสุภาพบุรุษหนึ่งเดียวหันมาส่งสายตาเป็นเชิงวิงวอนว่า ข้าฯ ไม่ไหวแล้วลงกันเถิดพี่น้อง โบกไปละกันบันเทิงกว่าเยอะ เท่านั้นแหละเหมือนมิได้นัดหมายเหล่าสมาชิกร่วมหัวจมท้ายทั้งสามก็ออกเดินมุ่งหน้าสู่ประตูรถเพื่อวิงวอนพี่คนขับว่าโปรดเปิดประตูให้พวกเราลงเถิด ไม่ไหวแล้วหายใจไม่ออก จะตายเอาง่ายๆ นะนั่น...แต่คนขับก็ใจเย็นดั่งขั้วโลกเหนือ (เลือดเย็น) ไม่เปิดอ่ะ..ฉันนึกในใจนี่กะปล่อยให้พวกเราขาดใจตายหมู่กันบนรถปลากระป๋องหรืองยังไงนะ เปิดสิ !!...เปิด...จะเปิดหรือไม่เปิดหนูเป็นหอบนะ ถ้าไม่เปิดตายไปรับผิดชอบด้วยละกัน..(^_^)
เท่านั้นแหละรีบเปิดประตูให้พวกเราลงแทบมาทันเล้ย..หุหุหุ
พอลงจากรถนรกได้ เฮ้อ! โล่งอก ต้องบอกว่าฉันรู้ซึ้งถึงคำว่า โล่งอก จริงๆ ก็คราวนี้แหละ มันได้หายใจเต็มๆ สดชื่นเหลือเกินอากาศภายนอก ทีนี้ก็ถึงเวลา โบก กันจริงๆ แล้วซินะ รถทุกคันต่างมุ่งหน้าเพื่อที่จะออกจากวังวนตรงนี้ไปให้ได้ ไม่มีใครอยากรับนักเดินทางพเนจรอย่างพวกเราเล้ย หาเหยื่อกันอยู่เป็นนานสองนานเวลาก็ปาเข้าไปเกือบจะตีสองนั่นแหละ แต่การเดินทางของเรายังไปไม่ถึงไหน สุดท้ายพวกเราก็ได้เทวดาใจดี ที่กำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดขอนแก่น เจ้ากะบะคันแดง และผู้ร่วมทางอีก 5 ชีวิต ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เป็นค่ำคืนที่ยาวนานมากสำหรับฉัน
วันแรก รถติดอย่างหนัก กระดึ๊บๆ ได้ทีละนิด รถที่พวกเราอาศัยมานั้นก็มาจอดพักรถแบบสว่างคาตาตรงเลยมวกเหล็กมานิดนึง นับดูคร่าวๆ เกือบ 8 ชั่วโมงแล้วซินะที่เรากระดึ๊บมาถึงมวกเหล็ก แต่จุดหมายปลายทางของเรานั้นอยู่ที่ ภูกระดึง ..ไปต่อ..วันทั้งวันพวกเราก็อยู่แต่บนกะบะท้ายรถ รถก็วิ่งไปๆ...ตามทางของมันพวกเราทั้ง 4 ได้อาศัยรถเทวดาใจดีมาลงตรงแยกก่อนเข้าขอนแก่น ต้องโบกต่อไป คราวนี้ได้รถเทวดาสองแถวคันโต แต่ก็ยังไปไม่ถึงขอนแก่นอยู่ดี เพราะรถนั้นไปคนละทาง ตอนนี้บ่ายโมงตรงแล้ว ทานข้าวเที่ยงเติมพลังกันก่อน แล้วก็นั่งรถเมล์เข้า บขส เพื่อต่อรถไปขอนแก่น จากนั้นก็ต่อรถอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่ผานกเค้า จากผานกเค้าก็ยังต้องเหมารถสองแถวเพื่อไปให้ถึงตีนภูฯ ท้ายที่สุด สิ้นสุดวันพวกเราก็มาถึงจนได้ แต่ก็อยู่ได้แค่ตีนภูฯ เท่านั้น
ค่ำคืนที่สอง ของการเดินทาง อย่างที่บอกคือมาจอดแค่ตีนภูฯ รอขึ้นตอนเช้า พวกเราตั้งแคมป์เล็กๆ กันหน้าห้องน้ำ คงเป็นทำเลที่เหมาะที่สุดแล้วล่ะ คืนนี้อากาศดีมากๆ ไม่ร้อน เย็นสบาย ฉันกับเพื่อนอีกคนผูกเปลนอน พระจันทร์ขึ้นแล้ว เต็มดวงซะด้วยงามจริงๆ นอนมองพระจันทร์เพลินๆ เพื่อรอกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เพื่อนกำลังทำอยู่ แต่ทำไมรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ฉันหลับรวดเดียวแบบไม่สะดุ้งตื่นระหว่างทางเลย มีความสุขจริงๆ คงเหนื่อยจากการเดินทางทั้งกลางคืนและกลางวันนั่นแหละ เป็นการเดินทางที่ยาวนานจริงๆ ไป-กลับ เชียงใหม่ฉันว่ายังใช้เวลาน้อยกว่านี้อีก...
วันที่สอง เช้านี้แหละจะได้ขึ้นภูกระดึงซักที ด้วยสังขาร จำต้องนำสัมภาระทุกอย่างที่ติดตัวมาส่งมอบต่อไปยังลูกหาบให้ช่วยดูแล สนนราคาก็กิโลกรัมละ 10 บาท ไม่แพงเลย จริงๆ นะ เพราะถ้าเห็นลูกหาบแบกของขึ้นภูแล้ว อยากให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ พวกเราเริ่มออกย่ำตอน 8.30 น. เวลาดี แดดร้อนเปรี้ยง น้ำ น้ำ น้ำ เท่านั้นที่ฉันโหยหา ยังไม่ถึงซำหอบแฮ่กๆ ฉันก็ถอดใจซะแล้ว ไม่เคยท้ออะไรอย่างนี้เลยจริงๆ ให้ฟ้าผ่าทากตายก็ได้อ่ะ กว่าจะผ่านแต่ละซำ ฉันงี้ถอดอกถอดใจไปหลายรอบ เหนื่อยมากๆ คงเป็นเพราะอากาศร้อนนั่นแหละ แต่ก่อนหน้าที่เราจะขึ้นฝนตกติดต่อกันหลายวันทำให้ต้นไม้บนภูแลดูเขียวขจี ผลิดอกใบสวยงามน่ามอง ก่อนจะถึงหลังแป ไต่บันไดแล้วบันไดเล่า เฮ้อ..ยังไม่ถึง นักเดินทางที่เดินสวนลงมาบอกว่าอีกแค่ 5-6 บันไดก็ถึงแล้ว ฉันภาวนาสาธุ ให้มันถึงซักทีเถ๊อะ..เหนื่อยแล้วน๊า...เกือบถึงหลังแป ฝนก็ตกลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำ เสื้อกันฝนที่เตรียมมา (ซะเมื่อไหร่) ก็ได้ใช้ซะที (แย่งของเค้ามาน่ะ) ถึงแระ หลังแป เป็นทางราบยาวประมาณ 3 กิโลเมตร สองข้างทางเพลินๆ ด้วยทิวสน สวยจริงๆ ศิลปะ สนๆ บนยอดภูกระดึงงามมากๆเลย ถ่ายรูปสนๆ ไป โอ้โห..นั่นดอกกระเจียวดอกโตสวยเชียว..ดอกเอนอ้า อ้ารับแสงสีสดใสงามจับตา...ทันใด..สิ่งที่ฉันคาดคิด แต่ดันลืมคิดไปชั่วขณะ !!!...อ้ายยยยยเชา เอามันออกไปที...!! เสียงสหายก้านยาวของฉันร้องตะโกน เท่านั้นแหละ ฉันรู้ทันทีว่ามันคืออะไร
เพียงแค่ก้มลงเพื่อที่จะเก็บภาพงามๆ ของดอกกระเจียว สหายเราก็โดนซะแล้ว เจ้าทากมหาปะลัย 2 ตัวเกาะติดหนึบอยู่ที่เท้าของสหายเรา..อึ๋ย !!...น่าขยะแขยง ฉันงี้ขนพองสยองเกล้าเลย ทีนี้แระ..ดอกไม้ก็ดอกไม้เหอะ ไม่สนใจแล้ว สายตาทั้งคู่ของฉันก็จับจ้องอยู่ที่เท้าทั้งสองของตัวเองทันที เหอะๆๆ อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้ม!ฉันน่ะ เจ้าทากตัวหนึบ..เดิน เดิน เดิน ด้วยอาการตื่นตระหนก สักพักพวกเราก็มาถึงลานกางเต็นท์ เฮ้อ!..ภูกระดึงถึงซักที สนามหญ้า..ง่ะ น่ากลัว ตอนนี้อะไรชื้นๆ เขียวๆ ล้วนสร้างความสยองให้ฉันทั้งสิ้น ถึงตรงนี้เวลาเกือบๆ บ่ายสามโมง หาข้าวหาปลากิน รอสัมภาระจากลูกหาบด้วย ตามแผนคือเดินต่อไปยังผาหล่มสัก เพื่อดูพระอาทิตย์ตก สำหรับโปรแกรมป่าปิดนั้น ปิดประตูลั่นกลอนไปแล้วเนื่องจากการเดินทางอันแสนยาวนานนั่นเอง กินข้าวเสร็จนั่งรอต่อไป ลูกหาบยังไม่มา คงติดฝนอยู่แน่ๆ เลย บ่าย 4 โมงเย็น ผาหล่มสัก ล้มเลิกอีกเช่นกัน ตอนนี้จุดหมายเดียวที่จะไปคือผาหมากดูกเท่านั้น...รอ รอ รอ และรอต่อไป |
 |
และแล้วก็มีสุภาพบุรุษในชุดดำ เดินออกมาจากป่าปิด สหายใหม่นามว่า ต่องแต่ง ที่ล่วงหน้ามาก่อนพวกเราหนึ่งวัน โชคดีที่ได้เดินทางตามโปรแกรม แต่ทันใด..สายตาที่ก็ไม่ได้เฉียบคมซักเท่าไหร่ของฉัน เหลือบไปเห็น..หนึบๆ คืบๆ ยาวๆ กระดึ๊บๆ..เกาะที่คอมัน อึ๋ย..!!...สยองอีกแล้ว มันไม่ได้มาคนเดียว เอาทากตัวน้อยติดตัวมากะมันด้วย ไปไกลๆ เล้ย..อย่าเข้ามาใกล้ฉัน...โอย...ภูกระดึง ไม่คิดว่าจะเป็นฝันร้ายของฉันจริงๆ ถ้าตัดเจ้าทากพวกนี้ออกไปนะ ฉันคงรักภูกระดึงได้มากกว่านี้แน่ๆ นั่งถ่ายภาพกวาง พร้อมระแวดระวังเจ้าคืบๆ เป็นนานสองนานจนเบื่อ ลูกหาบก็ยังไม่มาสุดท้ายฉันกับเพื่อนอีกคนที่ขึ้นภูฯ ครั้งแรกเหมือนกันก็ขอออกย่ำล่วงหน้าไปผาหมากดูกก่อน ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันแสงสุดท้าย ถุงกันทาก 2 ชั้นใส่ตั้งแต่กินข้าวเสร็จ กลัวอะไร ไปกัน (แต่จริงๆ แล้วให้ใส่ 10 ชั้น ฉันก็ยังสะดุ้งอยู่ดี) ...ผาชมวิวบนภูฯ ถ้าไม่เดินก็ปั่นจักรยานไป แต่ฉันกับเพื่อนเลือกเดินเพราะฝนตก ให้ปั่นจักรยานฝ่าฝน แถมทางเป็นทราย คงไม่ไหวแน่..เดินกันไปเรื่อยๆ ถึงแระ ผาหมากดูก คงเป็นชื่ออะไรซักอย่าง ซึ่งฉันไม่อยากรู้หรอกว่าต้นตอมาจากไหน แสงสุดท้ายหมดไปแล้วพร้อมๆ กับสหายทั้ง 3 ที่ตามาสมทบ แชะ !! ภาพกับวิวกันซักหน่อย มืดละ..เดินกลับเต็นท์กัน มื้อค่ำพวกเราทั้งหมดฝากท้องไว้ที่ร้านเดิม น่าลอง คือชื่อร้าน เจ้าของใจดี๊ ดี อาหารอร่อย เน้นปริมาณอีกต่างหาก คิคิคิ...ถูกใจคนใช้แรงงานอย่างพวกเรานักแล...แล้ววันนี้ก็หมดไป
คืนที่สาม เต็นท์สองหลังถูกกางไว้บนทางเดินที่มีหญ้าเขียวๆ ชื้นๆ น่าสยองอีกแล้วสำหรับฉัน ตอนแรกฉันบอกสหายว่าฉันปราถนาจะนอนเปล สูงเข้าไว้ยิ่งดี แต่สหายคงไตร่ตรองดูแล้วว่า นอนในเต็นท์ตรงนี้แระ ปลอดภัยแน่ จากเจ้าคืบๆ..กระดึ๊บๆ..อึ๋ย!..แต่นั่นก็ยังไม่สาแก่ใจฉัน ฉันว่าคงยังไม่ปลอดภัย จึงโรยปูนขาวรอบเต็นท์ ดูแล้วก็เหมือนสายสิญกันผีเลย อิอิ...โรยชั้นเดียวไม่พอ โรยมัน 2 ชั้นดักไว้เผื่อมีตัวไหนกระดึ๊บ พ้นชั้นแรกมาได้ จะได้มีอีกชั้นกั้นมันเอาไว้..ทีนี้ก็นอนได้อย่างสบายใจซักที ร่างกายปวดเมื่อยไปหมด สาหัสเอามากๆ ทริปนี้ ตอนแรกว่าจะสังสรรกับสหายร่วมทาง และสหายใหม่ที่เพิ่งเจอกันวันนี้ นามว่าพี่แมวตกมัน แต่หน้าท่านดุยังกะเสือแน่ะ..เสียดาย ฉันสิ้นสติไปก่อนใครเพื่อน แต่สหายอีกหลายชีวิตยังนั่งชิวๆ อยู่จนดึกดื่น ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่เดินมาปรามเสียงหัวเราะของเต็นท์เราเท่านั้นแหล่ะ ซักพักทุกอย่างก็เงียบกริบ จนถึงเช้า...

วันที่สาม วันสุดท้ายแล้วซินะ วันนี้ต้องลงจากภูฯ แล้ว ทั้งที่เพิ่งจะมาถึงเมื่อวานเอง ยังไม่ได้ไปดูอะไรๆ เลย ช่วงเช้ามีโปรแกรมสั้นๆ นั่นคือปั่นจักรยานไปผาหมากดูกอีกครั้ง ตอนแรกก็ว่าจะไปหล่มสัก แต่ฝนก็ตกอีก เลยอดไปตามระเบียบ...อ้อ!!...เกือบลืมของสวยๆ งามๆ ยามเช้า ระหว่างที่พวกเรานั่งเสวนากันอยู่หน้าเต็นท์ เคารพธงชาติเสร็จ หมอกจ้าหมอก...หมอกของแท้ไม่หงอยด้วย..คิคิคิ...เทลงมายังกะใครเทออกจากถังงั้นแหละ พรวดเดียวเต็มลานเลย สวยมากๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปกับสายหมอก...จากนั้นพวกเราถึงได้เคลื่อนทัพจักรยานปั่นไปหมากดูกกัน ฝนกระหน่ำลงมา ชะหมอกให้หายเกลี้ยง เลยจากหมากดูกไปตั้งใจว่าจะออกทางหลังแป เพื่อที่จะไปสัมผัสกับผาสวรรค์ต่อ แต่ก็ต้องวกรถกลับ เพราะเวลากระชั้นมากเหลือเกินกลัวว่าจะลงจากภูฯ ไม่ทัน เพราะเจ้าหน้าที่ขีดเส้นไว้ที่เวลาดีบ่าย 2 โมง เกินจากนั้นต้องค้างบนภูฯ ต่ออีกคืน เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง เพื่อนฉันที่เคยขึ้นภูฯ แล้วหลายรอบบอกว่าโชคดีที่ครั้งนี้ได้เจอหมอกด้วย อีกอย่าง ได้ครบทั้ง 3 ฤดูในคราเดียว แดดออก หมอกหล่น ฝนตก บันเทิงจริงๆ หลายคนมาหลายรอบยังไม่ได้เห็นหมอกเล้ย...อือม์...โชคดีก็ดีอ่ะ..
ตอนลงจากภูฯ โหดหนักยิ่งกว่าขึ้นซะอีก ทั้งความล้าของร่างกาย แล้วก็อุปสรรคจากทางที่ลื่นเนื่องจากฝนตก อีกทั้งสัมภาระที่อยากทดสอบร่างกายแบกมันลงซะเอง อยู่บนหลังหนักมากๆ ฉันค่อยๆ ไต่ลงมาจากภูฯ ตลอดทางว่ายากแล้ว ถึงซำหอบแฮ่กๆ ก่อนลงถึงเชิงเขา ฉันว่าหินโคตรๆ เลยล่ะ ขาฉันแทบก้าวไม่ออก สั่งมันยังไงมันก็ไม่ยอมก้าว..เฮ้อ..!!!...เหนื่อยชะมัดเล้ย..ภูกระดึง..ยังไม่เข็ดนะ แต่ถ้าจะให้ไปอีกคงเลือกเวลาที่ทากน้อย ถึงน้อยมาก เอาเป็นว่าอย่าเจอมันเลยดีที่สุด ช่วงนั้นแหละ ฉันถึงจะตัดสินใจกลับไปเยือนอีก..พวกเราลงมาถึงเชิงเขาเวลาก็ปาเข้าไปเกือบๆ บ่าย 4 โมงเย็น จัดแจงอาบน้ำอาบท่าชำระล้างร่างกาย ตามล่าหาพาสปอร์ต อุทยานแห่งชาติ ซึ่งฉันมั่นใจว่าต้องได้จากที่นี่แน่นอน หลังจากตามหาจนข้ามปี เกือบไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้ จนได้..(งงป่ะ) ..ขึ้นรถกลับเมืองฟ้าเวลา 2 ทุ่ม จองตั๋วไว้ตั้งแต่มาถึงวันแรก ค่อยสบายหน่อยถึงก็ตี 3 พอดี จบแล้วทริปนี้ของฉัน..
ท้ายที่สุดต้องขอบใจสหาย 2 เชา ที่ทำให้ทริปโบกบรรลุ และบันเทิงสุดๆ ขอบใจที่ทำให้สองตาของฉันได้สัมผัสกับโลกกว้าง ขอบใจที่ทำให้สองขาของฉันเดี้ยงกว่าหลายทริปที่ผ่านมา..ขอบใจสหายร่วมทางทุกท่านที่สร้างความบันเทิง และทำให้การเดินทางของฉันไม่เหงา ขอบใจเพื่อนใหม่ ขอบใจ...ขอบใจจากใจจริง...
ที่ ป ล า ย ท า ง เ ร า รู้ ว่ า
ก า ร ค้ น พ บ เ ป็ น ร า ง วั ล ที่ ยิ่ ง ใ ห ญ่
ข อ ง ผู้ ที่ ค้ น ห า เ ส ม อ
ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ข้าฯ ได้สัมผัสภูกระดึง
ภาพถ่ายและเรื่องราวอีกมากมายที่ภูกระดึง <<
ติดต่อสอบถาม แสดงทัศนะ ถึง-ผู้เขียน